บทที่ 2 โลกและการเปลี่ยนแปลง
หลักฐาน และสมมุติฐานการเคลื่อนที่ของทวีปของเวเกเนอร์ปัจจุบันได้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าผิวโลกชั้นลิทโธสเฟียร์ (lithosphere) ที่แตกออกเป็นแผ่นเปลือกโลกขนาดต่างๆ มากกว่า 10 แผ่นนั้น ทุกแผ่นกำลังเคลื่อนที่เข้าหากันหรือแยกออกจากกันตลอดเวลา ส่วนที่ชิดกันนั้นมีลักษณะเป็นรอยตะเข็บหรือรอยต่อแคบๆ ระหว่างแผ่นเปลือกโลกการที่แผ่นเปลือกโลกถูกขับเคลื่อนให้แยกออกจากกันได้ ก็เนื่องจากแรงขับดันที่เกิดจากการไหลทะลักขึ้นมาของลาวาอย่างสม่ำเสมอตามรอยตะเข็บกลางมหาสมุทรทำให้เกิดแนวหินภูเขาไฟที่มีอายุต่างๆ กัน ปลายอีกด้านหนึ่งของแผ่นเปลือกโลกทั้งสองข้างต้นจะถูกขับเคลื่อนไปชนกันทำให้เกิดการยกตัวเป็นภูเขาสูงหรือมุดลงใต้แผ่นเปลือกโลกที่อยู่ติดกัน บริเวณรอยตะเข็บแบบมุดตัวนี้ เป็นบริเวณที่หินมีการหลอมละลายเกิดแนวภูเขาไฟบริเวณไหล่ทวีป การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกทำให้มีการสะสมความเครียด เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในบริเวณรอยตะเข็บหรือรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกจนเมื่อความเครียดสะสมมีมากเกินกว่าจะคงสภาพปกติหรือสมดุลได้ จึงเกิดการปรับตัวของบริเวณนั้นและข้างเคียง เกิดคลื่นการสั่นสะเทือน ชั้นหินคดโค้ง รอยเลื่อน รอยฉีกขาดบนแผ่นเปลือกโลก โดยเฉพาะบริเวณใกล้รอยตะเข็บ

กระบวนการที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี
เกิดจากการถ่ายโอนความร้อน เกิดจาการที่สารร้อน ในวงจรพาความร้อนถ่ายโอนความร้อน เพราะ 2 บริเวณมีความร้อนไม่เท่ากัน
ลักษณะการเคลื่อนที่แผ่นธรณีภาค
การเคลื่อนที่แผ่นธรณีภาคมีการเคลื่อนที่ 3 ลักษณะ
1.ขอบแผ่นธรณีภาคแยกออกจากกัน เป็นแนวขอบของแผ่นธรณีภาคที่แยกออกจากกัน เนื่องจากการดันตัวของแมกมาในชั้นธรณีภาค ทำให้เกิดรอยแตกในชั้นหินแข็ง จนแมกมาสามารถถ่ายโอนความร้อนสู่ชั้นเปลือกโลกได้ อุณหภูมิและความดันของแมกมาจึงลดลงเป็นผลให้เปลือกโลกตอนบนทรุดตัวกลายเป็นหุบเขาทรุด ปรากฏเป็นเทือกเขากลางมหาสมุทร

2.ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนเข้าหากันแนวที่แผ่นธรณีภาคเคลื่อนเข้าหากันเป็นได้ 3 แบบ ดังนี้
2.1แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรชนกับแผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทร แผ่นธรณีภาคแผ่นหนึ่งจะมุดลงใต้แผ่นธรณีภาคอีกแผ่นหนึ่ง ปลายของแผ่นธรณีภาคที่มุดลง จะหลอมตัวกลายเป็นแมกมาประทุขึ้นมา เกิดเป็นแนวภูเขาไฟกลางมหาสมุทร เช่นที่ ญี่ปุ่นฟิลิปปินส์

2.2แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรชนกับแผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีป แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรหนักกว่าจะมุดลงใต้ ทำให้เกิดรอยคดโค้งเป็นเทือกเขาบนแผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีป เช่นที่ อเมริกาใต้แถบตะวันตก แนวชายฝั่งโอเรกอน ภาพด้านล่าง

2.3แผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีปชนกับแผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีปอีกแผ่นหนึ่ง เมื่อชนกันทำให้ส่วนหนึ่งมุดตัวลงอีกส่วนหนึ่งเกยอยู่ด้านบน เกิดเป็นเทือกเขาสูง เช่น เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาแอลป์ ภาพด้านล่าง

3.ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่ผ่านกัน
มักเกิดใต้มหาสมุทร ภาคพื้นทวีปก็มี เนื่องจากการเคลื่อนตัวของแมกมาในชั้นเนื้อโลกไมเท่ากัน ทำให้แผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่ไม่เท่ากันด้วย เกิดการเลื่อนผ่านและเฉือนกัน เป็นรอยเลื่อนระนาบด้านข้างขนาดใหญ่
การเปลี่ยนลักษณะของเปลือกโลก
การเปลี่ยนลักษณะของเปลือกโลก อันเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี ซึ่งมีลักษณะการเปลี่ยนที่สำคัญคือ ชั้นหินคดโค้ง และรอยเลื่อน
แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
ชั้นหินคดโค้ง (fold)

ที่พบในโลกเป็น การเปลี่ยนลักษณะ อีกอย่างหนึ่งที่เกิดจากผลของความเค้นเป็นการแสดงความเครียดของหินที่เปลี่ยนลักษณะโดยการแสดงออกในรูปของการคดโค้ง โก่งงอ หรือหักพับ
รูปร่างของชั้นหินคดโค้งเป็นไปได้อย่างไร้ขอบเขตและไม่ตายตัว ขนาดของชั้นหินคดโค้งมีทั้งขนาดเล็กแบบดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น ขนาดเท่ากำมือ หรือใหญ่ จนสามารถปรากฏในภาพถ่ายทางอากาศ หรือภาพถ่ายโทรสัมผัส
การที่จะทำให้เข้าใจว่าหินที่ปรากฏบนพื้นผิวโลกอาศัยเกิดการโค้งงอได้ คงจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะลักษณะของพื้นผิวของเปลือกโลกส่วนบนที่สัมผัสกับอากาศ ซึ่งเป็นส่วนที่มีลักษณะทางพฤติกรรมของหินแบบเปราะ การที่จะเกิดชั้นหินคดโค้งได้ต้องเกิดในสภาวะที่เป็นแบบอ่อนนิ่ม หินต้องมีลักษณะเคลื่อนไหวและยืดได้คล้ายดินเหนียวอุ้มน้ำ, ขี้ผึ้ง, ยางยืด หรือพลาสติก
รอยเลื่อน (fault)
ในทางธรณีวิทยานั้น รอยเลื่อน (อังกฤษ: fault) หรือ แนวรอยเลื่อน (อังกฤษ: fault line) เป็นรอยแตกระนาบ (planar fracture) ในหิน ที่หินด้านหนึ่งของรอยแตกนั้นเคลื่อนที่ไปบนหินอีกด้านหนึ่ง รอยเลื่อนขนาดใหญ่ในชั้นเปลือกโลกเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ที่แตกต่างกันหรือเฉือนกันและเขตรอยเลื่อนมีพลัง (active fault zone) เป็นตำแหน่งที่ไม่แน่นอนของการเกิดแผ่นดินไหวทั้งหลาย แผ่นดินไหวเกิดจากการปล่อยพลังงานออกมาระหว่างการเลื่อนไถลอย่างรวดเร็วไปตามรอยเลื่อน รอยเลื่อนหนึ่งๆตามแนวตะเข็บรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกของการแปรสัณฐาน (tectonic) สองแผ่นเรียกว่ารอยเลื่อนแปรสภาพขนาดใหญ่ (transform fault)
ด้วยปรกติแล้วรอยเลื่อนมักจะไม่เกิดขึ้นเป็นรอยเลื่อนเดี่ยวอย่างชัดเจน คำว่า “เขตรอยเลื่อน” (fault zone) จึงถูกนำมาใช้เมื่อกล่าวอ้างถึงเขตที่มีการเปลี่ยนลักษณะที่ซับซ้อนที่เกิดขึ้นร่วมกับระนาบรอยเลื่อน ด้านทั้งสองของรอยเลื่อนที่ไม่วางตัวอยู่ในแนวดิ่งเรียกว่า “ผนังเพดาน” (hanging wall) และ “ผนังพื้น” (foot wall) โดยนิยามนั้นหินเพดานอยู่ด้านบนของรอยเลื่อนขณะที่หินพื้นนั้นอยู่ด้านล่างของรอยเลื่อน นิยามศัพท์เหล่านี้มาจากการทำเหมือง กล่าวคือเมื่อชาวเหมืองทำงานบนมวลสินแร่รูปทรงเป็นแผ่นเมื่อเขายืนบนหินพื้นของเขาและมีหินเพดานแขวนอยู่เหนือเขานั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น